วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การทำน้ำหมักชีวภาพ

การทำน้ำหมักชีวภาพ

1.1 วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพจากพืชสด
ส่วนผสม

1.พืชสดทั่วไปที่หาได้ในหมู่บ้าน เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักขม 3 ปี๊บ
ผักเสี้ยน หรือพืชสีเขียวที่สดตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ รวมกัน
2.กากน้ำตาล 1 ปี๊บ
3.เปลือกสับปะรด 1 ปี๊บ
4.น้ำมะพร้าว (ถ้ามี) 1 ปี๊บ

วิธีทำ

นำพืชสด กากน้ำตาล เปลือกสับปะรด และน้ำมะพร้าวตามอัตราส่วน ผสมคลุกเคล้าด้วยกันบรรจุลงในถังพลาสติก ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นาน 30 วัน ขึ้น จึงสามารถใช้ได้

ประโยชน์และวิธีใช้

มะละกอ กล้วเร่งการเจริญเติบโตของพืชผัก พืชไร่ ไม้ผล ใช้น้ำหมักชีวภาพ 3 – 4 ช้อนแกง ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่นทุกๆ 5 – 7 วัน
ใช้เป็นสารเร่งและเพิ่มคุณภาพปุ๋ยหมัก ใช้กำจัดกลิ่นเน่าเสียหรือในคอก ปศุสัตว์ ใช้น้ำหมักชีวภาพ ประมาณ 15 – 20 ช้อนแกง ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ราด รด ให้ชุ่ม
ใช้แช่เมล็ดก่อนเพาะปลูก 12 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มอัตราการงอก น้ำหมักชีวภาพ 3 ช้อน ต่อน้ำ 1 ปี๊บ แช่เมล็ดพันธุ์

1.2 วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้

ส่วนผสม


1.ผลไม้สุก เช่น ฟักทอง มยน้ำว้า หรือมะเขือเทศ 2 ปี๊บ
2.พืชสดหลายๆ ชนิด สับเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ปี๊บ
3.กากน้ำตาล 1 ปี๊บ

วิธีทำ

นำผลไม้ พืชสด มาสับให้ละเอียด หรือยาวประมาณ 1 นิ้ว กากน้ำตาล เปลือกสับปะรด น้ำมะพร้าวตามอัตราส่วน ผสมคลุกเคล้าเข้ากันบรรจุลงในถังพลาสติก ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นาน 30 วันขึ้นไป จึงสามารถใช้ได้

ประโยชน์และวิธีใช้

เร่งการติดดอก ติดผล ของพืชผัก ผลไม้ ใช้น้ำหมักชีวภาพ 3 – 4 ช้อนแกง ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่นทุกๆ 5 – 7 วัน ตั้งแต่ระยะ พืชออกดอก และติดผลได้

1.3 วิธีทำน้ำหมักชีวภาพจากสัตว์

ส่วนผสม

1. หอยเชอรี่บด หรือทุบให้ละเอียด หรือปลาป่น 1 ปี๊บ
2. กากน้ำตาล 1 ปี๊บ
3. น้ำ 1 ปี๊บ

วิธีทำ

นำหอยเชอรี่ทุบหรือบดละเอียดหรือปลาป่น กากน้ำตาล หรือเปลือกสับปะรด ผสมคลุกเคล้าด้วยกัน บรรจุลงในถังหมักปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่มนาน 6 เดือน นำไปใช้

ประโยชน์และวิธีใช้

ช่นเดียวกับน้ำหมักชีวภาพชนิดอื่นๆ

2. วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพป้องกันกำจัดศัตรูพืช


2.1 ปฏิบัติเช่นเดียวกับการทำน้ำหมักชีวภาพชนิดอื่น เพียงแต่เปลี่ยนชนิดพืชผัก ผลไม้ เป็นชนิดพืชที่มีฤทธิ์ทางยาสมุนไพร เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้ นาสูบ บอระเพ็ด สาบเสือ อื่นๆ

2.2 นำพืชดังกล่าวมาทุบหรือตำให้แหลก 
แช่น้ำหมักทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำไปใช้ฉีดพ่นพืชได้

วิธีทำ

นำพืชสด กากน้ำตาล เปลือกสับปะรด และน้ำมะพร้าวตามอัตราส่วน ผสมคลุกเคล้าด้วยกันบรรจุลงในถังพลาสติก ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นาน 30 วัน ขึ้นไป จึงสามารถใช้ได้

ประโยชน์และวิธีใช้

ขับไล่แมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด ใช้ทุกๆ 5 – 7 วัน

2.3 ข้อเสนอแนะ และวิธีใช้น้ำหมักชีวภาพ

- การผสมน้ำหมักครั้งแรก 1 ปี๊บ กากน้ำตาล 1 ปี๊บ และน้ำเปล่า 10 ปี๊บ ผสมให้เข้ากันใส่ถังปิดฝาเก็บไว้ 7 วัน ใช้งานได้
- ใช้น้ำหมักชีวภาพ ฉีดพ่น ราด รด พืชผัก ผลไม้ สัตว์เลี้ยง ดับกลิ่น ราดแผลที่สัตว์จะทำให้หายเร็ว ควรใช้ในช่วงเช้าหรือเย็นจะได้ผลมากกว่า เพราะน้ำหมักชีวภาพเป็นสิ่งมีชีวิตและเมื่อถูกแสงแดดมากจะได้ผลเร็ว คือ จุลินทรีย์จะเป็นประโยชน์มาก
- การหมักให้หมั่นเขย่าถังหมักพร้อมเปิดฝาวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น เมื่อครบ 7 วัน ให้พิสูจน์โดยการดมจะมีกลิ่นหอมหวาน แสดงว่าใช้ได้ ถ้ามีกลิ่นบูดเปรี้ยวให้เติมกากน้ำตาลหมักไว้จนกว่าจะมีกลิ่นหอมหวาน การเก็บน้ำหมักต้องเก็บไว้ในที่มืดสามารถเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี
- การใช้น้ำหมักชีวภาพ ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องใช้ควบคู่กับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
- ไม่ควรใช้น้ำหมักชีวภาพร่วมกับการใช้สารเคมีทุกชนิด
- ใช้วัสดุหมักที่สะอาดและไม่เป็นโรค

2.4 การทำปุ๋ยหมัก

ส่วนผสม

1. ปุ๋ยคอก 3 ปี๊บ
2. แกลบดำ (ผ่านการเผา) 1 ปี๊บ
3. รำละเอียด 1 ปี๊บ
4. อินทรียวัตถุที่หาได้ง่าย เช่น แกลบ ชานอ้อย ขี้เลื่อย เปลือกถั่วลิสง เปลือกถั่วเขียว ขุยมะพร้าว ใบไม้แห้ง ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน 3 ปี๊บ
5. น้ำหมักชีวภาพ 1 ปี๊บ
6. กากน้ำตาล 1 ปี๊บ
7. น้ำ 100 ปี๊บ
คนจนละลายเข้ากัน

วิธีทำ

นำส่วนผสมมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน รดด้วยน้ำหมักชีวภาพพอชุ่ม กองปุ๋ย หมักหนา ประมาณ 15 เซนติเมตร คลุมด้วยกระสอบพลิกกลับวันละ 1 ครั้ง หมักไว้ 3 – 5 วัน ใช้มือจับดูว่าเย็นหรือร้อน ถ้าเย็นก็สามารถนำไปใช้ได้

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ



1. ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด - ด่าง ในดินและน้ำ
2. ช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศได้ดียิ่งขึ้น
3. ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
4. ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชให้สมบูรณ์ แข็งแรงตามธรรมชาติ ต้านทานโรคและแมลง
5. ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช ทำให้ผลผลิตสูง และคุณภาพของผลผลิตดีขึ้น
6. ช่วยให้ผลผลิตคงทน เก็บรักษาไว้ได้นาน








วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

น้ำส้มควันไม้


การทำน้ำส้มควันไม้
           น้ำส้มควันไม้ เป็นของเหลวสีน้ำตาลใส มีกลิ่นควันไม้ ได้มาจากการควบแน่นของควันที่เกิดจาก การผลิตถ่านไม้ ช่วงที่ไม้กำลังจะเปลี่ยนเป็นถ่านถ่ายเทความร้อนจากปล่องดักควันสู่อากาศ รอบปล่องดักควันความชื้นในควัน จะควบแน่นเป็นหยดน้ำ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติก
มีความเป็นกรดต่ำ มีสีน้ำตาลแกมแดง นำน้ำส้มควันไม้ที่ได้ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกประมาณ 3 เดือน
ในที่ร่ม ไม่สั่นสะเทือนเพื่อให้น้ำส้มควันไม้ที่ได้ตกตะกอนและแยกตัวเป็น 3 ชั้น คือ น้ำมันเบา (ลอยอยู่ผิวน้ำ)
น้ำส้มไม้ และน้ำมันทาร์ (ตกตะกอนอยู่ด้านล่าง) แยกน้ำส้มควันไม้มาใช้ประโยชน์ต่อไป

วัสดุอุปกรณ์
  1. อิฐ   500  ก้อน
  2. ถังน้ำมัน  200  ลิตร  2  ถัง
  3. ไม้ไผ่ยาว  8  เมตร พร้อมเจาะรู จำนวน  2 ลำ
  4. ความกว้าง 1.75 เมตร ยาว 1.15  เมตร สูง 60 ซม.
ประโยชน์น้ำส้มควันไม้

                น้ำส้มควันไม้มีสารประกอบต่างๆ มากมาย เมื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรจะมีคุณสมบัติ เช่น เป็นสารปรับปรุงดิน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสารเร่งการเติบโตของพืช นอกจากนี้ มีการนำน้ำส้มควันไม้
ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่น ใช้ผลิตสารดับกลิ่นตัว ผลิตสารปรับผิวนุ่ม ใช้ผลิตยารักษาโรคผิวหนัง เป็นต้น    เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ดังนั้นก่อนที่จะนำไปใช้ควรจะนำมาเจือจางให้เกิดสภาวะที่เหมาะสม

วัตถุประสงค์ของการทำน้ำส้มควันไม้

-  เพื่อเป็นการจัดการเศษไม้  ให้เกิดประโยชน์
-  ส่งเสริมให้ใช้ถ่านแทนก๊าซหุงต้ม
-  แนะนำส่งเสริมน้ำส้มควันไม้เพื่อเป็นผลพลอยได้จากการตัดกิ่งไม้

ด้านครัวเรือน
  1. น้ำส้มควันไม้ 100% ใช้รักษาแผลสด
  2. น้ำส้มควันไม้ 20 เท่า ทำลายปลวกและมด
  3. น้ำส้มควันไม้ 50 เท่า ป้องกับปลวก มด และแมลงต่างๆ
  4. น้ำส้มควันไม้  100 เท่า และ 200 เท่า และลดกลิ่นและแมลง  ผสมผงถ่านใช้ย่อยและป้องกันโรคท้องเสีย  ปรับปรุงคุณภาพเนื้อสัตว์ให้ใหญ่และแดงเพิ่มปริมาณวิตามิน
ด้านการเกษตร

-  ผสมน้ำ  20 เท่า พ่นลงดินทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
-  ผสมน้ำ 50 เท่า  ฆ่าจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช
-  ผสมน้ำ 200 เท่า ฉีดพ่นใบไม้ขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา

ด้านอุตสาหกรรมครัวเรือน

- ใช้ผลิตสารดับกลิ่น, สารปรับผิวนุ่ม, ทำให้เนื้อนิ่ม
- ใช้ย้อมผ้า
- ป้องกันเนื้อไม้จากเชื้อราและแมลง
- เป็นยารักษาโรคผิวหนังเชื้อไทฟอยด์
- เสริมภูมิต้านทานฮอร์โมนทางเพศ
- น้ำส้มควันไม้ที่ผ่านกระบวนการกลั่นแล้วนำไปใช้กระบวนการอาหาร เช่น หยด รม เคลือบหรือเติมแผลสด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนรวก บรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ

                                                              
วีธีการเผา

       ใส่ไม้ลงถัง 200 ลิตร ประมาณ 80 ก.ก. โดยเริ่มเก็บน้ำส้มที่อุณหภูมิปากปล่อง 80 องศา  และหยุดเก็นที่ 150 องศา โดยอุณหภูมิดังกล่าวจะไม่มีสารก่อมะเล็ง ใช้เวลาเผา 10 ชม. ได้ถ่าน 15 ก.ก ได้น้ำส้มควันไม้ 2 ลิตร

ข้อควรระวังในการ ใช้น้ำส้มควันไม้

1. ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องทิ้งไว้จากการกักเก็บก่อนอย่างน้อย 3 เดือน
2. เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ควรระวังอย่าให้เข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
3. น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ยแต่เป็นตัวเร่งปฎิกิริยา ดังนั้นการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้กับพืชแต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้
4. การใช้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดิน ควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน
5. การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้
6. การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ เพื่อให้ดอกติดผล ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบาน หากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสร เพราะกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้และดอกจะร่วงง่าย

ผลดีที่จะได้กับดินมีดังนี้

-   ความเสียหายที่เกิดจากแมลงและโรคในดินลดลง

-  น้ำส้มไม้เพิ่มประสิทธิภาพให้ปุ๋ย โดยทำให้ง่ายต่อการดูดซึมของพืช
-  น้ำส้มไม้ลดความเสียหายอันเกิดจากความเค็ม
     ควรจะใช้ร่วมกับอย่างอื่น เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ในการปรับคุณภาพของดินในระยะยาว

การทำน้ำส้มควันไม้ให้บริสุทธิ์

                น้ำส้มควันไม้ที่ได้จากการดักเก็บจะไม่นำไปใช้ประโยชน์ทันที เนื่องจากการเปลี่ยนจากไม้เป็นถ่านไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งเตา ดังนั้นควันที่เกิดขึ้นจึงเป็นควันที่ผสมกันระหว่างควันที่อุณหภูมิต่ำและสูง ดังนั้นจะมีน้ำมันดิน และสารระเหยง่ายปนออกมาด้วย น้ำมันดินที่ละลายน้ำไม่ได้จะนำไปใช้ประโยชน์ในการเกษตรไม่ได้เพราะจะไปปิดปากใบของพืช และเกาะติดรากพืชทำให้พืชเติบโตช้าหรือตายได้ นอกจากนั้นหากเทลงพื้นดินจะทำให้ดินแข็งเป็นดาน รากพืชไม่สามารถไชลงดินได้ ดังนั้นเมื่อเก็บน้ำส้มควันไม้แล้วต้องทิ้งช่วงและมีการทำให้น้ำส้มควันไม้บริสุทธิ์ก่อนนำไปใช้โดย นำถ่านล้างน้ำให้สะอาดตากให้แห้งบดเป็นผง  (อัตราส่วนน้ำส้มควันไม้  100 ลิตร / ผงถ่านบด 5 กก. )กวนให้เข้ากัน  ทิ้งไว้ 45 วันสารที่ก่อมะเร็งจะตกอยู่ชั้นกลาง  ใส่ภาชนะทิ้งไว้อีก 45 วันให้ตกตะกอนซึ่งก็คือน้ำส้มควันไม้ที่จะนำไปใช้นั้นเอง ส่วนชั้นล่างสุดนั้นเป็นของเหลวข้นสีดำ เราสามารถนำไปกำจัดปลวกได้
การเก็บรักษาน้ำส้มควันไม้้

                การเก็บรักษาน้ำส้มควันไม้ต้องเก็บในที่เย็นร่มหรือเก็บไว้ในภาชนะทึบแสงและไม่มีสิ่งรบกวน หากเก็บไว้ที่โล่งแจ้งน้ำส้มควันไม้จะทำปฏิกิริยากับอากาศและรังสีอันตราไวโอเลต ในแสงอาทิตย์กลายเป็นน้ำมันดินซึ่งในน้ำมันดินก็จะมีสารก่อมะเร็งด้วย และหากนำไปใช้กับพืช น้ำมันจะจับกับใบไม้ ทำให้ต้นไม้ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ดี

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การทำน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด

การทำน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด



ส่วนผสม
 1. เปลือกสับปะรด 5 กิโลกรัม
 2. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
 3. น้ำสะอาด 10 ลิตร

วิธีทำ 

นำเปลือกสับปะรดหั่นหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่
น้ำตาลทรายแดงคลุกเคล้าให้ทั่ว เติมน้ำลงไปให้ท่วม ใส่ถัง
ปิดฝาให้สนิท ตั้งไว้ในที่ร่มอย่าให้ถูกแดด นาน 7 - 10 วัน
จึงนำมาใช้ได้
(กรณีใช้น้ำประปาต้องรองทิ้งไว้สัก 2 วัน เพื่อให้คลอรีน
ระเหยเสียก่อน)



ขั้นตอนการทำ


1. นำเปลือกผลไม้มาหันเป็นชิ้นเล็กๆ
2. ผสมน้ำตาลทรายแดงและหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้าด้วยกัน

3.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ถังแล้วปิดฝาให้สนิท วางไว้ในที่ร่ม




ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด

1. น้ำหมักชีวภาพผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 เทลงในท่อระบายน้ำ ช่วยดับกลิ่นเหม็นได้
2. น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างภาชนะที่มีคราบไขมัน ช่วยให้ ล้างง่ายขึ้น และลดปริมาณการใช้น้ำยาทำความสะอาด
3. น้ำหมักชีวภาพใช้เทลงในโถส้วม ท่อระบายน้ำ ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างทำความสะอาดพื้นห้องสุขา ลดกลิ่นเหม็นและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้
4. น้ำหมักชีวภาพใช้เทลงในท่อระบายน้ำทิ้งจากโรงอาหารช่วยขจัดคราบไขมันอุดตันตามท่อน้ำทิ้ง ช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้าง ลดการบูดเน่าและกลิ่นเหม็นได้ ปรับสภาพน้ำทิ้งให้ดีขึ้น ก่อนปล่อยลงท่อน้ำทิ้งของเทศบาล
5. น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ให้ฉีดพ่นบริเวณที่มีกลิ่นอับชื้น ช่วยลดกลิ่นเหม็นอับ และทำให้อากาศสดชื่นหรือใช้ถูพื้นอาคารที่เป็นกระเบื้อง หินขัด ทำให้พื้นสะอาดเป็นเงางาม
6. น้ำหมักชีวภาพเทลงในถังเกรอะ หรือโถส้วม ช่วยลดปัญหาส้วมเต็มกลิ่นเหม็นอืดได้
7. กากที่เหลือจากการหมักนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพได้ โดยนำไปผสมกับเศษกิ่งไม้ ใบไม้
เศษหญ้า ปุ๋ยคอก แล้วราดด้วยน้ำหมักชีวภาพ คลุกเคล้าให้เข้ากัน คลุมด้วยผ้าพลาสติกทิ้งไว้
ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะย่อยสลายเปื่อยยุ่ย นำไปใช้ได้

สมุนไพร ใบบัวบก




บัวบกสมุนไพร ใบบัวบก

เป็นที่รู้กันดีว่า สมุนไพรใบบัวบก นั้นส่วนใจนำมารักษาโรคอกหัก...อิอิอิ จริง ๆ สมุนไพร ใบบัวบก เค้านิยมที่จะนำมารักษาชำในค่ะ แต่
ใบบัวบก นั้นมีสรรพคุณในการรักษามากกว่านั้น เราลองมาทำความรู้จักกับ สรรพคุณของใบบัวบก กันดีกว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้างที่ช่วยในด้านสุขภาพของเรา








สรรพคุณ ใบบัวบก



1. ใช้รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง หรือแผลหลังผ่าตัด ใบบัวบกจะช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยให้แผลหายเร็ว และแผลเป็นมีขนาดเล็ก


2. ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก


วิธีใช้

ใช้ใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เอาน้ำทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อย ๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น ปัจจุบันทดลองในรูปครีมของสารสกัดจากใบบัวบก 1 % ใช้ได้ดี



3.แก้อาการฟกช้ำ ช่วยให้เลือดกระจายตัว ชาวจีนเชื่อกันว่า ใบบัวบกแก้ฟกช้ำ แก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจายตัวหายฟกช้ำได้ดี แก้กระหายน้ำและบำรุงร่างกายได้อีกด้วย


วิธีใช้

มักใช้ในรูปของผักสด และเตรียมเป็นเครื่องดื่ม ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนายาจากใบบัวบก โดยทำในรูปของครีมทาแผล ยาผงโรยแผล ยาเม็ดรับประทาน พลาสเตอร์ปิดแผล และในรูปยาฉีด เพื่อใช้ในการรักษาแผลสด และแผลหลังผ่าตัด ในประเทศไทย มีผู้ทดลองเตรียมครีมจากสารสกัดใบบัวบกเพื่อใช้ทาแผล และบริเวณฟกช้ำใช้รักษาได้ผลดี





ใบบัวบก




4.ต้นสดใบและเมล็ด ช่วงเวลาที่เก็บยาเก็บตอนที่ใบสมบูรณ์เต็มที่ สรรพคุณทางยารวมทั้งต้นสามารถแก้เจ็บคอได้ ทำให้มีความสดชื่น ชุ่มคอ แก้ช้ำในก็ดีมาก สามารถแก้ความดันโลหิตสูงได้อย่างดีทีเดียว


5.ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง เมื่อดื่มน้ำบัวบกทุก ๆ วันเป็นประจำเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นก็จะทราบได้ทันทีว่าความดันโลหิตลดลงอย่างน่าพิศวง โดยไม่ต้องไปรับประทานยาทั้งยังใช้บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้โรคปวดเมื่อย แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค ตับอักเสบ ส่วนเมล็ดมีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ ปวดศรีษะ 


6.แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้บัวบกทั้งต้นสด 1 กำมือ ล้างแล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาวันละ 3-4 ครั้งจนหาย 


7.รักษาแผลเก่าแผลเป็นให้หายได้ รักษาโรคเรื้อนกวาง นำบัวบกมาดองเหล้า 7 วัน เอายามาทาผิวหนังวันละ 3 ครั้ง 


8.ผู้ที่เป็นโรคตับ ตับโต ตับอักเสบ ใช้ต้นสด 240-550 กรัม ต้มคั้นเอาน้ำขนาดชามใหญ่ดื่มทุกวัน 


9.อาการร้อนในกระหายน้ำ อ่อนเพลีย ใช้น้ำคั้นจากใบสด ทำให้เจือจาง ปรุงรสด้วยน้ำตาลใส่น้ำแข็งดื่มเป็นเครื่องดื่มอาการดังกล่าวจะค่อยหายไป 


10.แก้ปวดเมื่อย เจ็บหน้าอก เจ็บหลัง เอว ใช้ต้นแห้งบดเป็นผงรับประทานวันละ 3-4 กรัม แบ่งรับประทานเป็น 3 ครั้ง


11.แก้ตับอักเสบใช้ต้นสด 120 กรัม ผสมน้ำ 500 มิลลิลิตร นำไปต้มให้เหลือ 250 มิลลิลิตร ใส่น้ำตาลกรวดลงไป 60 กรัม ขณะที่ยังร้อน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ตอนท้องว่างติดต่อกัน 7 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา